วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประเทศอิตาลี

ยุคโบราณ             
           คาบสมุทรอิตาลีมีมนุษย์อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทเบอร์เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลตั้งแต่เมื่อประมาณ 5 หมื่นปีที่แล้ว และด้วยอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งมีอารยธรรมโบราณกล่าวคือ อารยธรรมมิโนนและไมซีเนียน อารยธรรมที่เกี่ยวพันกับอารยธรรมกรีกโบราณ อิตาลีเป็นประเทศที่มีอารยธรรมมาช้านานและแผ่ขยายดินแดนอื่นๆ ในทวีปยุโรป
               ในช่วง 1,600 ปีก่อนคริต์ศักราช พวกอีตรัสกัน (Etruscan) จากเอเชียไมเนอร์ก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นแคว้นตอสกานาในปัจจุบัน พร้อมกับนำอารยธรรมกรีกเข้ามาเผยแพร่ ส่วนพวกกรีกเองก็ได้เดินทางมาตั้งอาณานิคมชื่อว่า แมกนากราเซีย” (Magna Graecia) ในตอนใต้ของอิตาลีใน 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณตั้งแต่เมืองนาโปลี จนถึงเกาะซิชิเลีย
               ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช พวกอีตรัสกันได้มีอำนาจปกครองดินแดนตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิตาลีตั้งแต่หุบเขาโป จนถึงบริเวณเมืองนาโปลี และดินแดนรอบๆ กรุงโรม ขณะเดียวกันชนเผ่าอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีก็รวมตัวกันจัดตั้งเป็น นครรัฐขึ้น เพื่อต่อต้านการขยายตัวและอำนาจของพวกอีตรัสกันและกรีก ชนเผ่าที่สำคัญในการต่อต้านอำนาจเหล่านี้ได้แก่พวกละติน หรือโรมัน ซึ่งเมื่อถึง 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินก็ได้มีอำนาจเหนือดินแดนอิตาลี เกาะซาร์ดิเนียและซิซิเลีย ทั้งหมดแล้ว
               ใน 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นระบอบจักรวรรดิ โดยมีจักรพรรดิออกตาเวียน (Octavian) เป็นจักรพรรดิพระองค์แรก นครหลวงแห่งนี้ได้เจริญถึงขีดสุดและสามารถขยายอำนาจปกครองอิทธิพลไปทั่วทั้งยุโรป และบริเวณรายรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการค้าและความเจริญในด้านวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ แทนกรีกที่ได้ถดถอยลง ระหว่างปี ค.ศ. 96 180 เป็นช่วงระยะเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของจักรพรรดิที่ปกครอง 5 พระองค์ แต่หลังจากนั้น โรมต้องประสบปัญหาทั้งในทุกๆด้าน รวมไปถึงการรุกรานของพวกอนารยชน รวมทั้งการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจรรยา ใน พ.ศ. 855 (ค.ศ. 312) จักรพรรดิคอนสแตนติน ทรงยอมรับคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมีผลให้คริสต์ศาสนามีโอกาสได้เผยแพร่ไปทั่วดินแดนที่อยู่ใต้อานัติของโรม
               ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันและกรุงโรมได้ถูกพวกอนารยชนเยอรมันเข้าปล้นสะดม ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 1019 (ค.ศ. 476) จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายก็ถูกพวกอนารยชนขับออกจากบัลลังก์ นับเป็นการสิ้นสุดจักรวรรดิโรมันตะวันตก ประวัติศาสตร์โลกสมัยโบราณ และโลกตะวันตกก็เข้าสู่ยุคกลาง
ยุคกลาง
               ในช่วงต้นของยุคกลาง ดินแดนต่างๆ ในยุโรปได้ตกอยู่ในสภาวะระส่ำระส่ายที่บ้านเมืองขาดผู้นำ ระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมถูกทำลาย แต่ในขณะเดียวกันบิชอบแห่งโรม ก็ได้สามารถสถาปนาอำนาจสูงสุดในคริสตจักรซึ่งต่อมาคือสันตะปาปา และสามารถจัดตั้งรัฐสันตะปาปา อีกทั้งยังเป็นผผู้สืบทอดอารยธรรมโรมันที่ยังหลงเหลืองให้คงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ดี แม้นครรัฐต่างๆ ในคาบสมุทรอิตาลีจะขาดเอกภาพทางการเมือง แต่นครรัฐเหล่านั้นยังเป็นศูนย์กลางของความเจริญมั่งคั่งและการฟื้นตัวของศิลปะและวัฒนธรรมของยุโรป
               ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 อิตาลีได้ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูศิลปวิทยาการของอารยธรรมกรีกและโรมัน (ยุคเรอเนซองส์) และเป็นผู้นำของลัทธิมนุษยนิยม ในขณะที่ประเทศต่างๆในยุโรปยังตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบศักดินาหรือฟิวดัล แต่เมื่อเข้าปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 อิตาลีได้ตกเป็นสมรภูมิแย่งชิอำนาจงระหว่างฝรั่งเศส สเปน และออสเตรีย กล่าวคือเมื่อปี ค.ศ. 1494 พระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศสได้เปิดการโจมตีคาบสมุทร ซึ่งได้ดำเนินเรื่อยมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และการโจมตีเพื่อแย่งการเป็นเจ้าของระหว่างฝรั่งเศสและสเปน
กลางศตวรรษที่ 19 ได้มีการชุมนุมของขบวนการชาตินิยม เพื่อต้องการรวมอิตาลีจนเป็นผลสำเร็จ โดยการนำของกษัตริย์ Victor Emmanuel II นับแต่นั้นมา อิตาลีจึงอยู่ภายใต้การปกครองระบบกษัตริย์เรื่อยมา จนกระทั่งในศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอิตาลี เมื่อประกาศยกเลิก การเป็นพันธมิตรกับเยอรมันและออสเตรีย โดยเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในสงครามโลกครั้งที่ 1 จนได้รับสมญานามว่าเป็น 1 ใน 4 มหาอำนาจ หรือ The Big Four ต่อมาสงครามได้ยุติลง ด้วยชัยชนะของสัมพันธมิตร อิตาลีจึงได้ดินแดนบางส่วนของออสเตรียมาครอบครอง
ต่อมาในปี ค.ศ.1922 ระบบเผด็จการฟาสซิสม์ ถูกนำมาใช้ในประเทศอิตาลีกว่า 20 ปี โดยการนำของเบนนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini ) ถึงแม้ว่าจะมีกษัตริย์เป็นประมุข แต่ก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น จนกระทั่งเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อิตาลีเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรยึดเกาะซิซิลีได้ มุสโสลินีจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งนายรัฐมนตรี และแต่งตั้งเพโตร บาดาจิโอ (Pietro Badaglio) ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และประกาศสงครามกับเยอรมันจนได้รับชัยชนะ โดยมุสโสลินีถูกกลุ่มต่อต้านฟาสซิสม์จับกุม และสังหารที่เมืองมิลาน
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง อิตาลียังคงมีพระเจ้าวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่ 3 เป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ อยู่ต่อมาพระองค์สละราชสมบัติ ให้พระเจ้าฮัมเบิร์ตที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน แต่ครองราชย์ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ประชาชนต่างลงประชามติ ให้อิตาลีเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบบกษัตริย์มาเป็นระบบสาธารณรัฐ ในระบบบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ.1946 โดยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ.1948 จนถึงปัจจุบัน โดยกำหนดให้อำนาจ ของสันตปาปาสิ้นสุดลง รวมทั้งได้ยกเลิกการที่ถือว่าศาสนาคริสต์นิกาโรมันคาทอลิก เป็นศาสนาประจำชาติด้วย
ปัจจุบันนี้แม้ว่าอิตาลี จะมีการพัฒนาไปในด้านเศรฐกิจ และการค้าอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีปัญหาภายในประเทศอย่างอิทธิพล และมาเฟียจากเกาะซิซิลี อีกทั้งนายกรัฐนตรีหลายคน ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนและมีส่วนร่วมกับมาเฟีย จนมีการกล่าวว่าอิตาลี เป็นประเทศแม่แบบของการติดสินบน

สภาพภูมิอากาศ
           อิตาลีจัดได้ว่าอยู่ในเขตอบอุ่น มีแสงอาทิตย์ส่องสว่าง อากาศดีแจ่มใส แต่จริงๆแล้ว ด้วยรูปทรงยาวยื่นลงไปในทะเล โดยส่วนบนติดกับเทือกเขาแอลป์ ทำให้อิตาลีมีภูมิอากาศที่หลากหลาย ทางตอนเหนืออากาศเย็น มีหิมะตกในช่วงหน้าหนาวทว่าร้อนจัดในช่วงหน้าร้อน ในขณะที่ทางใต้อากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี โดยมีลมจากแอฟริกาพัดพาเอาความร้อนและชื้นเข้ามาในช่วงฤดูร้อน ฤดูกาลในอิตาลีมี 4 ฤดู คือ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง
เวลาที่เหมาะกับการไปเยือนอิตาลีที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างเดือนเมษายนถึงกลางเดือนมิถุนายน ช่วงฤดูร้อน (กรกฎาคมถึงกันยายน)ในอิตาลีจะคึกคักมากและมีนักท่องเที่ยวมากมายทุกหนแห่งที่พักและอาหารมีราคาแพงจึงควรหลีกเลี่ยงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวอาจมีฝนตก


อิตาลีจะใช้ภาษาอิตาเลียนเป็นหลัก ในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น โรม มิลาน ฟลอเรนซ์ เวนิช ฯลฯ ร้านค้าต่างๆ จะพูดภาษาอังกฤษได้พอสมควร แต่ตามเมืองเล็กๆ
   ในชนบทนักท่องเที่ยวอาจจะประสบปัญหาได้ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ
ภาษา
ทั่วอิตาลีจะใช้ภาษาอิตาเลียนเป็นหลัก ในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น โรม มิลาน   ฟลอเรนซ์    เวนิช ฯลฯ ร้านค้าต่างๆ จะพูดภาษาอังกฤษได้พอสมควร แต่ตามเมืองเล็กๆ ในชนบทนักท่องเที่ยวอาจจะประสบปัญหาได้ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ

ประวัติแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ

วิหารพาร์เธนอน
วิหารพาร์เธนอน (Parthenon) คือวิหารโบราณบนเนินอะโครโพลิสในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ สร้างเพื่อเป็นศาสนสถานบูชาเทพีเอเธนา หรือเทพีแห่งปัญญา ความรอบรู้ ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นสิ่งก่อสร้าง สถาปัตยกรรม กรีกโบราณ ที่มีชื่อเสียงที่สุด แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาด ของสถาปนิก ในสมัยนั้น และ ถือได้ว่า เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดกว้าง 101.4 ฟุต หรือ 30.9 เมตร และ ยาว 228.0 ฟุต หรือ 69.5 เมตร คำว่า พาร์เธนอน นั้นน่าจะมาจาก ประติมากรรม ที่เคยตั้งอยู่ภายในวิหาร คือ Athena Parthenos ซึ่งมีความหมายว่า เทพีอันบริสุทธิ์ ซากที่ยังเหลือให้เห็น ก็คือ โครงสร้างที่ค้ำด้วย เสาหินอ่อน สีอมชมพู และหน้าบันบางส่วน ส่วนภายในเคยมี ประติมากรรม เทพีอาธีนา ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ วิหารนี้ใช้เป็นที่บวงสรวง เทพีอาธีนา ต่อมาใช้เป็น โบสถ์ของชาว คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น โบสถ์คาทอลิก จนกระทั่งในยุคที่ ชาวเติร์ก ครองเมืองถูกดัดแปลงมาเป็น มัสยิด และในที่สุด ก็ถูกใช้เป็นที่เก็บดินปืน ในสงครามระหว่างเติร์ก กับ เวเนเชี่ยน (Venetian) ทำให้ถูกระเบิดเสียหายไปบางส่วน และ วิหารพาร์เธนอน มาทรุดโทรมอย่างหนัก เมื่อคราวสงคราม กอบกู้อิสรภาพของกรีก จาก เติร์ก


ปอมเปอี 
"ปอมเปอี-Pompei" เป็นเมืองเก่าสมัยกลาง ตั้งอยู่บริเวณภาคใต้ของคาบสมุทรอิตาลี ริมอ่าวเนเปิล เมืองนี้เป็นชุมชนขึ้นมาก่อนคริสต์ศักราช โดยอยู่ใต้ อิทธิพลของกรีก ต่อมาราว 80 ปีก่อนคริสตกาลกลายเป็นเมืองตากอากาศฤดูร้อนของชาวโรมันหลังตกเป็นอาณานิคมของอาณาจักรโรมัน กระทั่งค.ศ.63 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง เมืองรุ่งเรืองสมบูรณ์แบบกลายเป็นซากปรักหักพังทันที
             มีบันทึกถึงภัยพิบัติครั้งนั้นว่าเกิดขึ้นเพราะบริเวณที่ตั้งของเมืองเป็นจุดเดียวกับที่ตั้งของภูเขาไฟใต้น้ำชื่อซอมมา นักโบราณคดีเชื่อว่าซอมมาระเบิดครั้งแรกเมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว ขณะนั้นบริเวณดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่งของอ่าวเนเปิล นอกจากแผ่นดินไหวในค.ศ.63 แล้ว บริเวณนี้ยังเกิดแผ่นดินไหวอีกหลายครั้งตลอดเวลาที่ภูเขาไฟระอุอยู่
             แล้วก็ถึงครั้งสาหัส เหตุเกิดวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.79 ภูเขาไฟวิซูเวียสระเบิด ลาวาร้อนไฟลุกทะลักโถมกลบพื้นที่เป็นบริเวณกว้างไกล เมืองปอมเปอี เฮอร์คูลาเนียม และสตาบิเอ หายไป ผู้รอดชีวิตจากลาวามหาประลัยบันทึกเหตุการณ์ผ่านจดหมาย แล้วก็กลายเป็นจดหมายเหตุประวัติศาสตร์ได้ข้อมูลว่าเมืองปอมเปอียามนั้นมีประชากรประมาณ 20,000 คน ถูกหินไฟเหลวกลบสิ้นชีวิต 2,000 คน.


กว่า 1,500 ปีต่อมามีการขุดซากเมืองและบูรณะเป็นระยะๆ นับจากค.ศ.1748 ตราบจนปี 1860 การขุดสำรวจเริ่มเป็นไปตามหลักวิชาการมากขึ้นด้วยเทคนิคยุคใหม่ทำให้ชาวโลกในปัจจุบันได้มีความรู้ ข้อมูลที่มีค่ายิ่งเกี่ยวกับชีวิตชาวโรมันในศตวรรษที่ 1
             เมื่อขุดผืนดินที่ทับถมออกหมดสิ้นก็ได้พบซากเมืองใหญ่โต สร้างด้วยหินแข็งแรง ได้เห็นผังเมือง และภายในกำแพงที่โอบล้อมตัวเมือง มีถนนหนทาง ใจกลางเมืองมีจัตุรัส วิหาร อนุสรณ์สถาน สำนักงานราชการ ตลาด ร้านค้า โรงละคร สนามกีฬา บ้านเรือน และโรงอาบน้ำสาธารณะ รวมทั้งรูปปั้นและสิ่งของ เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่งจำนวนมากมาย เป็นสมบัติล้ำค่าทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแน่ชัดที่สุดเกี่ยวกับโรมันยุคนั้น
             หลายจุดน่าสลด พบซากชาวปอมเปอีและสัตว์เลี้ยงแข็งเป็นหินคงสภาพเกือบทุกประการ รวมถึงความหวาดกลัวต่อความตายที่ยังตราติดอยู่บนดวงหน้า บางซากนั่งเอามือปิดหน้า บางซากซบอยู่กับกำแพง ปอมเปอีจึงได้อีกชื่อว่า "ซากเมืองแห่งความตาย"

สุสานมัมมี่
               Capuchin catacombs of Palermo คือ สุสานใต้ดิน ในเมืองพาเลอร์โม ( Palermo ) บนเกาะซิซิลี ( Sicily ) ทางเหนือ ของ ประเทศอิตาลี ( Italy ) ในช่วงปี 1534 เหล่าพระคาปูชิน ที่อยู่ในวัดที่ พาเลอร์โม เมื่อมรณภาพจะใช้การฝังในถ้ำ เมื่อเวลาผ่านไปถ้ำดังกล่าวเกิดเต็มจนไม่สามารถใช้ฝังพระได้อีกต่อไป ทำให้ในปี ค.ศ. 1599 จึงเริ่มีการขุดอุโมงค์ใต้อารามเพื่อดัดแปลงเป็นที่ฝังศพแทนถ้ำที่เต็มหลังขุดเสร็จ หลวงพ่อ Silvestro of Gubbio เป็นพระรูปแรกที่ถูกฝังที่สุสานนี้ และถือเป็นจุดเริ่มต้นของ 1 ใน สถานที่ท่องเที่ยว สุดสยอง ที่ได้รับความนิยมที่สุดใน ประเทศอิตาลี


              ในช่วงแรกในการสร้าง สุสานใต้ดิน คาปูชิน แห่ง พาเลอร์โม นั้นต้องการเป็นที่เก็บศพของพระ เท่านั้น เวลาผ่านไปเป็นร้อยๆปี จนกระทั้งในปี 1871 หลวงพ่อ ลิคคาร์โด เป็นพระ รูปสุดท้ายที่ถูกนำศพมาเก็บไว้ที่สุสานแห่งนี้ แต่คนชั้นสูง หรือผู้ร่ำรวยที่จะต้องการรักษาศพของตน ไว้ในสุสานแห่งนี้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ทางวัดเป็นรายปีเพื่อการฝังศพไว้ในสุสานนี้ เรือยๆมาจนกระทั้งศพสุดท้ายที่นำเข้ามเก็บทีนี้ในช่วงปี 1920 ซึ่งเวลานั้นรวมทั้งหมดมีศพ ฝังอยู่กว่า 8,000 ศพ และหนึ่งในศพท้ายที่นำเข้าฝังไว้ที่สุสานนี้ คือศพของ Rosalia Lombardo และเธอถือเป็น จุดดึงดูด นักท่องเที่ยว ที่สำคัญที่สุดสำหรับ สุสานใต้ดิน คาปูชิน แห่ง พาเลอร์โม


หอเอนปิซา 
                      หอเอนปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ประเทศอิตาลี เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นหอคอยหินอ่อนที่พิศดาร สูง 54 เมตร (181 ฟุต) มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตรรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ. 1717 (ค.ศ. 1174) ไปเสร็จในปี พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) ใช้เวานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก ความน่ามหัศจรรย์อีกอย่าง คือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5 ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกับพังทลายลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ เมื่อสร้างเสร็จ ยอดของหอเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 4 เมตร(14 ฟุต) และหอเอนนี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของเทห์วัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง

สถาปัตยกรรมแบบอิตาลี
             เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของยุคสถาปัตยกรรมที่เรียกว่ายุคฟื้นฟูสถาปัตยกรรมคลาสสิก  การสร้างสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเป็นแบบสถาปัตยกรรมอิตาลีเป็นการใช้ลักษณะทรงและศัพท์สถาปัตยกรรมของสถาปัตยกรรมอิตาลีของคริสต์ศตวรรษที่16  ที่เป็นพื้นฐานในการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ทั้งลัทธิพาลเลเดียน และลัทธิฟื้นฟูคลาสสิกในการผสานกับความงามอันต้องตา (picturesque aesthetics) ฉะนั้นลักษณะของสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม " ฟื้นฟูเรอเนซองส์ " ด้วยจึงเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของยุค ต่อมาสถาปัตยกรรมแบบอิตาลีก็พัฒนาขึ้นและทำให้แพร่หลายมากขึ้น
 
องค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรมแบบอิตาลีก็ได้แก่
  • หลังคาป้านหรือราบและมักจะใช้ hipped
  • ชายคายื่นกว้างออกไปรองรับด้วยคันทวย
  • บัวตกแต่งใหญ่เด่น
  • หน้าต่างและประตูประดับด้วยจั่ว
  • หน้าต่างชั้นแรกสูงเป็นนัยยะว่าเป็น piano nobile
  • หน้าต่างโค้งหักมุมยื่นออกมาจากตัวอาคาร (Angled bay windows)
  • ห้องใต้หลังคาที่มีหน้าต่างรายที่มีที่คลุม
  • ประตูกระจก
  • หอทัศนา หรือ เชิงเทิน และหอ
  • โดม
  • Quoins
  • ระเบียงลอจเจีย
  • ระเบียงเหล็กดัดหรือลูกกรงระเบียงแบบเรอเนซองส์
  • ลูกกรงระเบียงซ่อนหลังคา
  • ราว 15% ของสถาปัตยกรรมแบบอิตาลีในสหรัฐอเมริกาจะรวมหอ
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ใช้กันโดยทั่วไปคือ
     ศิลปะและสถาปัตยกรรมคริสเตียนยุคแรก คือศิลปะที่สร้างโดยผู้นับถือคริสต์ศาสนาหรือโดยผู้ได้รับการอุปถัมภ์จากผู้นับถือคริสต์ศาสนาที่เริ่มตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 100 จนถึงราวปี ค.ศ. 500   ก่อนหน้าปี  ค.ศ. 100 ไม่มีหลักฐานทางศิลปะที่หลงเหลือให้เห็นที่จะเรียกได้ว่าเป็นศิลปะหรือสถาปัตยกรรมของผู้นับถือคริสต์ศาสนาได้อย่างแท้จริง หลังจากปี ค.ศ. 500 ศิลปะและสถาปัตยกรรมคริสเตียนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะของศิลปกรรมแบบไบแซนไทน์
โบสถ์เซนต์มาร์ค ที่เวนิส ประเทศอิตาลี รูปแบบสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์
สถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ หรือ สถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ หรือ สถาปัตยกรรมบีเซินทีน คือสถาปัตยกรรมที่เริ่มประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5 ลักษณะอาคารส่วนใหญ่เป็นโดมคลุมบนเนื้อที่กลมสี่เหลี่ยม      หรือรูปหลายเหลี่ยม บางครั้งมีการจัดรูปทรงภายนอกเป็นโดมหลายอัน ต่างขนาดกัน  ลดหลั่นกันไป  โดยส่วนใหญ่ยึดหลักสมดุลชนิด 2 ข้างเท่ากันรอบแกนใดแกนหนึ่ง เช่น โบสถ์เซนต์มาร์ค  ที่  เวนิส ประเทศอิตาลี
                                       มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม ประเทศฝรั่งเศส
                  สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ (ภาษาอังกฤษ: Romanesque architecture) เป็นคำที่บรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เริ่มราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ไปจนถึงสมัยสถาปัตยกรรมกอธิคระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12 สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ที่อังกฤษจะเรียกกันว่าสถาปัตยกรรมนอร์มัน
ลักษณะเด่นๆของสถาปัตยกรรมยุคนี้คือความเทอะทะ เช่นความหนาของกำแพง ประตูหรือหลังคา/เพดานโค้งประทุน เพดานโค้งประทุนซ้อน การใช้โค้งซุ้มอาร์เคดในระหว่างช่วงเสาหนึ่ง ๆ และในแต่ละชั้นที่ต่างขนาดกัน เสาที่แน่นหนา หอใหญ่หนัก และ การตกแต่งรอบโค้ง (เช่น:ซุ้มประตูหรืออาร์เคด (arcade)) ลักษณะตัวอาคารก็จะมีลักษณะเรียบ สมส่วนมองแล้วจะเป็นลักษณะที่ดูขึงขังและง่ายไม่ซับซ้อนเช่นสถาปัตยกรรมกอธิคที่ตามมา สถาปัตยกรรมจะพบทั่วไปในทวีปยุโรป
ซานตา มาเรีย ผลงานอัจฉริยะจากยุคเรอเนสซองส์
                  สถาปัตยกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยา หรือ สถาปัตยกรรมเรอเนซองส์ (ภาษาอังกฤษ: Renaissance architecture)    เป็นคำที่บรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เริ่มขึ้นเมื่อราวต้นคริสต์ศตวรรษที่15 และรุ่งเรืองไปจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อบางประเทศในทวีปยุโรปหันมาฟื้นฟูความสนใจเกี่ยวกับปรัชญากรีก และ โรมันโบราณ และวัตถุนิยม

พระที่นั่งอนันตสมาคม จ.กรุงเทพฯ
พระที่นั่งอนันตสมาคม สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นอาคารหินอ่อนแบบเรเนอซองส์ ของประเทศอิตาลี ทั้งนี้มีพระราชประสงค์ที่จะสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่รับรองแขกเมือง และประชุมปรึกษาราชการแผ่นดิน

           สถาปัตยกรรมเรอเนซองส์จะเน้นความมีความสมมาตร (symmetry) ความได้สัดส่วน(proportion)
 การใช้รูปทรงเรขาคณิต และลักษณะที่ปรากฏในสถาปัตยกรรมคลาสสิก เช่นสถาปัตยกรรมสมัยโรมันการวางโครงสร้างจะเป็นไปอย่างมีแบบแผนไม่ว่าจะเป็นเสา หรือ คานรับเสา และการใช้ซุ้มโค้งครึ่งวงกลม การใช้โดม มุข (niche) หรือ aedicule ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้เข้ามาแทนที่จะเป็นแบบตรงกันข้ามกับรูปทรงที่ซับซ้อนและไม่เป็นระเบียบ (irregular profile) ที่เป็นที่นิยมของสิ่งก่อสร้างแบบกอธิก
มหาวิหารเซนต์พอล-- ลอนดอนเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมบาโรกซึ่งเล่นเสาคู่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างช่องว่าง
สมัยบาโรกมีการสร้างวัดใหญ่ๆ มากแต่ที่เป็นมหาวิหารมีเพียงไม่กี่แห่ง ที่เด่นที่สุดก็คือมหาวิหารเซนต์พอลที่กรุงลอนดอนที่กล่าวถึงข้างบน และมหาวิหารเซ็นต์กอล (St. Gall Cathedral) ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มหาวิหารบางแห่งอาจจะมีองค์ประกอบบางส่วนที่มาต่อเติมภายหลังที่เป็นแบบบาโรกเช่นการตกแต่งด้านหน้าวัด ฉากหลังแท่นบูชา หรือคูหาสวดมนต์ อย่างเช่นด้านหน้าของมหาวิหารซานติเอโก เดอ คอมโพสเตลลา (Santiago de Compostela) หรือ มหาวิหารวัลลาโดลิด (Valladolid Cathedral) ที่ประเทศสเปน ซึ่งมาต่อเติมเป็นแบบบาโรกภายหลัง แต่ที่จะเห็นเป็นมหาวิหารแบบบาโรกทั้งมหาวิหารค่อนข้างจะหายาก
                                   มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรมในประเทศอิตาลี
          พอมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 มหาวิหารและสำนักสงฆ์ใหญ่ๆ ก็สร้างกันเสร็จ ความชำนาญของสถาปนิกในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โตเช่นมหาวิหารที่ประกอบด้วยโค้งสูง หลังคาหิน หอคอยสูงเป็นต้นก็เพิ่มมากขึ้น ลักษณะการก่อสร้างจึงวิวัฒนาการขึ้นทำให้สิ่งก่อสร้างเริ่มลดความเทอะทะลง หน้าต่างก็เริ่มกว้างกว่าเดิมบ้าง เพดานโค้ง สูงที่รับน้ำหนักก็มีลักษณะเบาขึ้น เพดานที่เคยเป็นโค้งครึ่งวงกลมเริ่มแหลมขึ้น เพดานโค้งแหลมกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของเพดานกอธิคที่เรารู้จักกันทุกวันนี้
มหาวิหารลิเวอร์พูล  สถาปัตยกรรมสมัยใหม่
  -  สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (Modern architecture) ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมาในคริสต์

ศตวรรษที่ 20 สิ่งก่อสร้างทางคริสต์ศาสนายังเลียนแบบสถาปัตยกรรมยุคกลางแต่ “ปอก” รายละเอียดออกจนมีลักษณะเกลี้ยงและมักจะใช้อิฐเป็นวัสดุก่อสร้างแทนที่จะเป็นหินอย่างที่เคยทำกันมา ตัวอย่างคือมหาวิหารกิลด์ฟอร์ด ที่อังกฤษ หรือ มหาวิหารอาร์มิเดล (Armidale Cathedral) ที่ประเทศออสเตรเลียหลัง สงครามโลกครั้งที่สอง สถาปนิกก็ละทิ้งรูปทรงสถาปัตยกรรมแบบที่เคยทำกันมาเมื่อสร้างมหาวิหารโคเวนทรี (Coventry Cathedral) ใหม่แทนมหาวิหารเดิมที่ถูกระเบิดทำลายไป มหาวิหารเดิมเคยเป็นวัดประจำท้องถิ่นมาก่อนที่จะได้เลื่อนขึ้นเป็นมหาวิหาร สิ่งที่มิได้ถูกทำลายคือมณฑป มหาวิหารโคเวนทรีใหม่เป็นแผงอิฐสลับกับหน้าต่างประดับกระจกสีเพื่อให้สิ่งก่อสร้างใหม่เป็นสัญญลักษณ์ของความเชื่อมต่อกับมหาวิหารเก่าโดยมิได้ลอกเลียนของเดิม
สินค้าของที่ระลึก
-เครื่องหนัง คุณสามารถเลือกซื้อเครื่องหนังคุณภาพดี made in italy ได้จากตลาดนัด หรือร้านรวงตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า เข็มขัด เป็นสินค้าที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อเป็นของฝากค่ะ
-สินค้าแบรนด์เนม    ทั้ง   GUCCI, PRADA,   DOLCE & GABBANA,   FENDI, GIORGIO ARMANI, VERSACE, BULGARI และแบรนด์อื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนแหล่งช้อบตามเมืองต่าง ๆ ได้แก่   Via dei Condotti (แถวบันไดสเปน),Via Montenapoleone fashion (มิลาน)หรือจะเป็นตาม outlet เช่น The Mall (ฟลอเร้นซ์), outlet ในเครือ fashion district, Serravalle designer outlet ในเครือ McArthurglen (outlet ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป)
อิตาลี่ ไปเองได้แต่ต้องระวังโดนล้วงกระเป๋าตามสถานีรถไฟ หรือบนรถใต้ดิน และไม่ควรเดินตามที่เปลี่ยวๆคนเดียวตอนกลางคืน
-ทองคำ         อิตาลีเป็นอีกประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องทองคำ ด้วยการออกแบบที่เก๋ ทันสมัย บวกกับปริมาณทองคำ 75 % จึงทำให้มีรูปแบบ รูปทรงต่างออกไปจากบ้านเรา แนะนำว่า ร้านขายทองตามเมืองใหญ่ ๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยวอย่างโรม เวนิส ราคาจะแพงกว่าร้านค้าในเมืองเล็ก ๆ ค่ะ ราคาทองคำที่นี่จะขึ้นอยู่กับเจ้าของร้านเป็นผู้กำหนด

   ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท กรุง โรม อิตาลี
ตั้งแต่
THB 7,665
ต่อคืน
โรงแรมระดับ 4-ดาว แห่งนี้ให้บริการห้องพัก 160 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นยอด แต่ละห้อง ประกอบไปด้วย ห้องปลอดบุหรี่, เครื่องปรับอากาศ, ภาพยนตร์ชมในห้องพัก, ตู้เซฟในห้องพัก
                            Sofitel Roma Hotel

                          สถานที่ตั้ง: Ludovisi
ตั้งแต่
THB 13,292
ต่อคืน
ไม่ว่าจะมาท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจ โรงแรมระดับ 4-ดาว แห่งนี้ก็มีห้องพักไว้คอยบริการ 113 ห้อง โดยได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าพักผ่อนอย่างสะดวกสบายและมีสไตล์ ทุกห้อง
ขอขอบคุณแหล่งอ้างอิง